ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุ พันธบัตร ธปท. 5 แสนล้านจะทำไทยเสียสมดุล

2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 

บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ระบุถึงกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ขออนุมัติวงเงินเพิ่มเติมสำหรับการออกพันธบัตรอีก 500,000 ล้านบาท หลังจากที่กระทรวงการคลังได้อนุมัติวงเงินเพิ่มเติมไปแล้ว 400,000 ล้านบาทในช่วงต้นปี สร้างความกังวลให้กับตลาดการเงินพอสมควร เพราะอาจกระทบต่อการระดมเงินทุน หรือการจัดสรรทรัพยากรในระบบ รวมทั้งอาจทำให้เกิดการโยกย้ายเงินออมออกจากเงินฝากธนาคารพาณิชย์

เนื่องจากแนวโน้มเงินดอลลาร์สหรัฐที่ยังอ่อนค่าลง ทำให้ ธปท.หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเข้าไปดูแลเสถียรภาพของค่าเงินบาทอย่างต่อเนื่อง และนำมาสู่การดูดซับสภาพคล่องเงินบาทออกจากระบบ

แม้ว่าอาจจะสร้างความกังวลให้กับตลาดการเงิน เพราะธปท.ต้องแบกรับภาระหนี้ในจำนวนที่สูงขึ้นในอนาคต แต่หาก ธปท.มีการนำเงินตราต่างประเทศที่ได้รับมา ไปบริหารจัดการจนเกิดดอกผลเป็นกำไรสุทธิที่สูงกว่าต้นทุนการออกพันธบัตร ธปท.แล้ว หากสามารถบริหารได้เช่นนั้นก็คงจะไม่ใช่ประเด็นที่น่าวิตกกังวลจนเกินไปนัก

ในกรณีที่ ธปท.เข้าดูแลเสถียรภาพค่าเงินบาทแล้วมีประสิทธิผล นอกจากจะช่วยให้เงินบาทชะลอการแข็งค่าและช่วยบรรเทาผลกระทบที่จะมีต่อกลุ่มผู้ส่งออกแล้ว ต้นทุนของการ Sterilization ปริมาณเงินของธปท.อาจจะมีแนวโน้มลดต่ำลงอีกด้วย เนื่องจากนักลงทุนที่มีเป้าหมายเพื่อการเก็งกำไร น่าจะเพิ่มความระมัดระวังและชะลอการนำเข้าเงินทุนลง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีความเห็นเพิ่มเติมว่า ถึงแม้ว่าการออกพันธบัตรธปท. อาจจะไม่ได้มีผลทำให้สภาพคล่องสุทธิในระบบเปลี่ยนแปลงไปมากนัก แต่การโยกย้ายเปลี่ยนมือกันของเงินบาทที่ธปท.หามาแลกกับเงินตราต่างประเทศ ไปสู่นักลงทุนที่นำเงินตราต่างประเทศเข้ามาแลก ก็น่าที่จะมีผลผลักดันให้ต้นทุนทางการเงินของเงินบาทมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

และเมื่อพิจารณาถึงปริมาณสภาพคล่องในระบบที่อาจมีแนวโน้มลดลงตามการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในปี พ.ศ. 2551 การออกพันธบัตรของธปท.ในวงเงินที่ค่อนข้างสูง อาจมีผลกระทบต่อการระดมเงินทุนหรือการจัดสรรทรัพยากรในระบบ (crowding out)

รวมทั้งอาจมีผลทำให้เกิดการโยกย้ายเงินออมออกจากเงินฝากธนาคารมาเป็นการลงทุนในพันธบัตรธปท.หรือการลงทุนในกองทุนรวมต่างๆ มากขึ้น

แหล่งที่มา